ผมหงอกก่อนวัย (Health & Cuisine)
ชาว เอเชีย ฝรั่ง และแอฟริกันมีสีผมต่างกัน
สีเหล่านี้เกิดจากเซลล์เมลาโนไซท์ผลิตเม็ดสีเมลานินได้สองโทนสี คือ เหลืองปนแดง
และน้ำตาลปนดำ ซึ่งแต่ละเชื้อชาติจะผลิตสีออกมาในสัดส่วนที่แตกต่างกัน
เมื่ออายุมากขึ้น รากผมค่อยๆ เสื่อม ทำให้ผมบางลง พร้อมกับเซลล์เมลาโนไซท์ผลิตเม็ดสีน้อยลงเรื่อยๆ
จนกลายเป็นสีขาวซึ่งเราเรียกว่า ผมหงอก
จาก งานวิจัยพบว่าเมื่ออายุ 50 ปี คนส่วนใหญ่มีผมหงอกไปครึ่งศีรษะแล้ว โดยฝรั่งผมเริ่มหงอกเร็วและลามไวกว่าคนเอเชีย
และแอฟริกัน เพราะสีผมบลอนด์เกิดจากเม็ดสีเหลืองปนแดง
ซึ่งใกล้เคียงกับสีขาวมากที่สุด เวลาเมลาโนไซท์หยุดสร้างสี
จะพบว่าเส้นผมกลายเป็นสีขาวชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากชาติที่มีผมดำ หรือน้ำตาล ที่จะเปลี่ยนเป็นสีเทาก่อนแล้วจึงค่อยเปลี่ยนเป็นสีขาวในเวลาต่อมา
ผมหงอกก่อนวัย
ผม หงอกแสดงถึงเซลล์ร่างกายเริ่มเสื่อมลงหรือเรียกสั้นๆ
ว่า "เริ่มแก่" ซึ่งปัจจุบันแนวโน้มอายุคาดหวังของประชากรโลกลดลงเรื่อยๆ
จึงไม่แปลกใจเลยที่หนุ่มสาวอายุเพิ่งยี่สิบก็มีผมหงอกแล้ว โดยทั่วไปผมจะเริ่มหงอกจากจอน
ขมับ แล้วลามไปทั่วศีรษะ อาจเป็นเพราะหนังศีรษะแต่ละส่วน ทั้งด้านหน้า ตรงขมับ
ด้านข้าง ด้านหลัง และกลางศีรษะ
อย่าง ไรก็ตาม
ยังไม่มีคำอธิบายแน่ชัดว่าเพราะเหตุใด แต่หากเปรียบเทียบทั้งร่างกาย จะพบว่าผมหงอกเริ่มที่ศีรษะก่อนแล้วค่อยลามไปที่เคราและขนตามร่างกายในเวลา
ต่อมา ใครมีผมหงอกก่อนวัยได้บ้าง
• ทายาทผมหงอก
คนที่ได้รับถ่ายทอดยีนผมหงอกมาจากพ่อหรือแม่ หากพ่อแม่มีผมหงอกก่อนวัยก็เชื่อได้เลยว่าลูกมีสิทธิ์ผมหงอกตอนเป็นหนุ่มได้
เช่นกัน
• สิงห์นักสูบ
มีงานวิจัยว่า คนที่สูบบุหรี่ตั้งแต่อายุน้อยจะมีผมหงอกก่อนคนที่ไม่สูบบุหรี่ เพราะสารอนุมูลอิสระจากการเผาไหม้บุหรี่เข้าสู่ร่างกาย
ทำให้เซลล์ทั่วร่างกายแก่เร็ว
• เป็นโรคกระดูกพรุนหรือโรคหลอดเลือดหัวใจ
ผู้ที่เป็นโรคใดโรคหนึ่งในสองโรคนี้ บ่งบอกถึงสัญญาณความชรามาเยี่ยมแล้ว การรักษา
ไม่ มีทั้งยารับประทานและยาทาที่สามารถฟื้นคืนเซลล์สร้างเม็ดสีให้ทำงานปกติได้
เลย แต่มีวิธีเดียวคือ เมื่อเริ่มรู้ว่ามีผมหงอกแค่เพียงเส้นเดียว ควรหันมาออกกำลังกายเสียตั้งแต่เนิ่นๆ
ควบคู่กับรับประทานผัก ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน
หลอดเลือดหัวใจ และชะลอวัยได้
วิทยา ศาสตร์การแพทย์ไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาผมหงอกก่อนวัย
และอนาคตอาจมีการใช้ สเต็มเซลล์ ปลูกเซลล์รากผมที่ดีลงไปแทนได้ ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในขั้นทดลอง
หรืออาจใช้ ฮอร์โมนต้านความชรา แต่หากไม่ควบคุมปริมาณให้ดีอาจก่อมะเร็งได้ ต้องจับตาดูว่าทั้งสองวิธีนี้จะผ่านการรับรองจากวงการแพทย์เมื่อไร
เพื่อความปลอดภัยของทุกคน